+100%-

ตอนที่ 197 – ความต้องการอันบ้าคลั่ง

 

แม้ว่าอันสเตเบิลจะไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนักแต่เขาก็ยังคงเป็น 1 ในสมาชิกระดับสูงของสหพันธ์นักสู้  เขาได้ประกาศตัวเป็นศัตรูกับฉีเฟิงอย่างโจ่งแจ้งและเขาก็เพิ่งจะเปิดเผยความลับของฉีเฟิงออกมาจึงทำให้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่รู้จักเขา

 

แต่อยู่ๆ อันสเตเบิลกลับออกมาขอโทษต่อฉีเฟิงภายในกระทู้ทางการ

 

เหตุการณ์นี้ได้ทำให้หลายๆคนถึงกับตกตะลึงเมื่อได้อ่านกระทู้ของเขา

 

มันเป็นเรื่องที่ชัดเจนว่าสหพันธ์นักสู้นั้นเป็นกิลด์ขนาดใหญ่  แต่พวกเขากลับพ่ายแพ้ให้กับผู้เล่นอิสระเพียงคนเดียว  แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเคยเกิดขึ้นมาก่อนภายในเกมเสมือนจริงเกมอื่นแต่มันก็ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากอย่างมากและสามารถนับได้ด้วยนิ้วของมือข้างเดียวเท่านั้น  ยิ่งไปกว่านั้นเหตุการณ์ในครั้งนี้กลับเกิดขึ้นภายในเกมที่เพิ่งจะเปิดให้บริการได้เพียงไม่นาน

 

“ใครก็ได้บอกฉันทีว่านี่มันเรื่องอะไรกัน!!”

 

“หรือว่าพวกเขาจะถูกผู้เล่นอิสระคนนั้นฆ่าตายจนหมด”

 

“ไอดอลของฉันนี้สุดยอดไปเลย!  เขาแข็งแกร่งถึงขนาดที่ทำให้กิลด์ทั้งกิลด์ยอมจำนนให้กับเขาเพียงคนเดียว”

 

ความโกลาหลนี้ได้เกิดขึ้นภายในกระทู้ทั่วทั้งเขตเมืองธาราสีขาว  ข้อความของอันสเตเบิลนั้นเปรียบได้กับก้อนหินที่ได้ถูกโยนลงไปในบ่อน้ำและทำให้ผิวน้ำอันเงียบสงบเกิดคลื่นแผ่กระจายออกไปทั่วทิศทาง 

 

ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในเกมเสมือนจริงเกมใดก็ตาม  ผู้เล่นของกิลด์กับผู้เล่นอิสระก็มักจะเกิดความขัดแย้งกันอยู่เสมอๆ  ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติและสุดท้ายเหล่าผู้เล่นของกิลด์ก็มักจะเป็นฝ่ายชนะอยู่เสมอ

 

แต่ในตอนนี้ผู้เล่นอิสระอย่างฉีเฟิงกลับทำให้กิลด์ขนาดใหญ่ยอมจำนนได้จึงส่งผลให้ผู้เล่นอิสระจำนวนมากออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้

 

สำหรับพันธมิตรของกิลด์ที่วางแผนจะต่อต้านฉีเฟิง  เรื่องนี้ก็เปรียบเสมือนกับระเบิดเวลาที่พร้อมจะทำลายพวกเขาได้ในทันทีที่มันเกิดระเบิดขึ้นมา

 

ตัวตั้งตัวตีที่ได้ก่อตั้งพันธมิตรนี้และเป็นคนวางแผนได้เลือกที่จะถอนตัวออกไปแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียวเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้  

 

อะไรกันที่ถึงกับทำให้อันสเตเบิลกลัวหัวหดได้ขนาดนี้และมันก็ทำให้กิลด์ในพันธมิตรกิลด์อื่นๆได้เกิดความตื่นตระหนกขึ้น

 

(จางหลังเว่ยคือผู้ชนะเลิศอันดับ 1 ของการแข่งขันการต่อสู้ในมหาลัยและเป็นคนที่คุมชาโดว์อยู่

เฟลมมิ่งไทเกอร์หรือโจวจูฮวน อันดับ 3 ของการแข่งขันการต่อสู้ในมหาลัยเป็นคนที่มาหาเรื่องฉีเฟิงในตอนต้นเรื่องและได้ประลองกับฉีเฟิงในโลกภายนอก

หลิงเฟยหลง อันดับ 9 ของการแข่งขันการต่อสู้ในมหาลัยเป็นเพื่อนร่วมชั้นของฉีเฟิงที่พยายามจะบังคับเอาจดหมายแนะนำของฉีเฟิงไป

**เตือนความทรงจำเผื่อใครลืมจ้า**)

 

“พี่จางเราควรจะทำยังไงดี” เฟลมมิ่งไทเกอร์เอ่ยถาม

 

จางหลังเว่ยได้ใช้ความคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดว่า

 

“รอจนกว่าพวกเราทุกคนได้เข้าสู่เมืองธาราสีขาวก่อนแล้วเราค่อยจัดการกับเรื่องนี้อีกที  ฉันจำเป็นที่จะต้องประเมินฉีเฟิงใหม่อีกครั้ง  บอกหลิงเฟยหลงด้วยว่าให้เขาพยายามติดต่อกับฉีเฟิงเพื่อดูว่าฉีเฟิงอยากจะเข้าร่วมกับชาโดว์ของเราหรือไม่  ตราบใดที่ฉีเฟิงตกลงฉันก็จะให้เขาได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสพร้อมกับเงินประจำปี 1 ล้านเครดิตบวกกับหุ้นอีก 10% ของเวิร์กชอป” เฟลมมิ่งไทเกอร์ถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ยินข้อเสนอเช่นนี้

 

เขายอมรับว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉีเฟิงแต่ข้อเสนอเช่นนี้ก็ถือได้ว่ายอดเยี่ยมเกินไปเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้

 

ตำแหน่งผู้อาวุโสของกิลด์นั้นจะทำให้ชีวิตของคนๆนั้นอยู่อย่างสุขสบายและอำนาจของพวกเขาก็เป็นรองเพียงแค่นายน้อยหลานและจางหลังเว่ยเท่านั้น  ไม่ต้องพูดถึงเงินประจำปีอีก 1 ล้านเครดิตพร้อมกับหุ้นของเวิร์กชอปอีก 10% ซึ่งถือว่าเป็นเงินที่มีจำนวนมหาศาลมาก

 

เฟลมมิ่งไทเกอร์ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าทำไมพวกเขาถึงต้องให้ข้อเสนอที่มีค่ามหาศาลขนาดนี้เพื่อชักชวนฉีเฟิงเข้ามายังกิลด์

 

แต่เขาก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกไปและปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับมา

 

เมืองธาราสีขาว เขตการค้า

 

หลังจากที่กลับมายังเมืองธาราสีขาวแล้วฉีเฟิงก็ได้มุ่งหน้าไปยังธนาคารพร้อมกับนำหินแข็งออกมาจากคลังจำนวน 500 กองโดยมีความตั้งใจที่จะขายมันเพียงส่วนหนึ่งในตอนนี้

 

เนื่องจากราคาของหินแข็งในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นมาถึงกองละ 10 เหรียญเงินแล้ว  ถึงแม้ว่าราคาของมันจะสามารถเพิ่มได้ในภายหลัง  แต่ราคานี้ก็ถือได้ว่าใกล้ที่จะถึงกับราคาสูงสุดของมันแล้ว

 

หินแข็งจำนวน 500 กองนี้เป็นจำนวนเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับหินแข็งทั้งหมดที่ฉีเฟิงครอบครองอยู่  ฉีเฟิงได้ทำการซื้อหินแข็งมาอย่างต่อเนื่องและทำให้เขาเก็บสะสมพวกมันได้มากกว่า 10,000 กอง

 

โดยฉีเฟิงได้ใช้เงินซื้อหินแข็งพวกนี้ทั้งหมดในราคาประมาณ 30 เหรียญทองเท่านั้นและมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้กิลด์ขนาดใหญ่ต่างๆภายในเขตเมืองธาราสีขาวไม่สามารถที่จะหาซื้อหินแข็งได้

 

หลังจากที่ได้ทำการขายหินแข็งทั้ง 500 กองนี้แล้วเขาก็ตั้งใจที่จะนำแบล็คกี้และคนอื่นๆบุกโจมตีทีมดันเจี้ยนเลเวล 10 ‘โรงงานก็อบลิน’  

 

แม้ว่าเลเวลของแบล็คกี้และโลนลี่สโนว์จะอยู่ในระดับสูงแต่อุปกรณ์โดยรวมของพวกเขาก็อยู่ในระดับกลางๆเท่านั้น  ฉีเฟิงจึงตั้งใจที่จะหาอุปกรณ์ให้กับพวกเขาใหม่ทั้งหมด        

 

ในขณะนี้มีผู้เล่นที่มาถึงเลเวล 10 มากกว่า 500 คนแล้ว  โดยผู้เล่นส่วนใหญ่นั้นล้วนแล้วแต่เป็นสมาชิกของกิลด์ที่ทุกคนรู้จักกันดี  นอกจากการทำเควสภายในเมืองธาราสีขาวแล้วเป้าหมายของผู้เล่นเหล่านี้ก็คือการจู่โจมดันเจี้ยนเนื่องจากดันเจี้ยนนั้นถือว่าเป็นแหล่งในการหาอุปกรณ์ที่ดีที่สุดและทำให้ความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาเพิ่มมากขึ้น 

 

เมืองธาราสีขาวนั้นแตกต่างจากย่านต่างๆในช่วงเริ่มต้นของเกมหลังจากที่ผู้เล่นได้ไปถึงเลเวล 10 แล้วและได้เข้าสู่เมือง  การผจญภัยภายในเกมนี้ก็ถือได้ว่าเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง  

 

ดันเจี้ยนเลเวล 10 นั้นมีมากมายทั่วทั้งเขตของเมืองธาราสีขาวและมันยังมีทีมดันเจี้ยนตั้งแต่เลเวล 10 ไปจนถึงเลเวล 20 ในขณะดียวกันทีมดันเจี้ยนเลเวล 10 จำนวน 10 คนนั้นมีเพียงแค่ 3 ที่ภายในเขตเมืองธาราสีขาว 

 

ตราบใดก็ตามที่ 1 ใน 3 ดันเจี้ยนนั้นถูกพิชิต  เกมก็จะเปิดใช้งานระบบแลกเปลี่ยนเซ็ตการ์ดและทำให้มูลค่าของพวกมันเพิ่มมากขึ้น

 

โดยปกติแล้วเหล่าผู้เล่นมักเลือกที่จะพัฒนาอุปกรณ์ของพวกเขาโดยการโจมตีทีมดันเจี้ยนขนาดเล็กและเมื่อพวกเขาพร้อมพวกเขาก็จะทำการโจมตีทีมดันเจี้ยนขนาดใหญ่และในตอนนี้เหล่ากิลด์ต่างๆก็ได้เริ่มที่จะจู่โจมทีมดันเจี้ยนขนาดเล็กแล้ว  โดยวางเป้าหมายของพวกเขาไว้ที่รางวัลของการเคลียร์ดันเจี้ยนเป็นทีมแรกของ 1 ใน 3 ดันเจี้ยนขนาดใหญ่       

 

หากทีมใดสามารถที่จะเคลียร์โหมดนรกของ 1 ใน 3 ดันเจี้ยนขนาดใหญ่ได้เป็นทีมแรก ความสำเร็จนั้นก็จะได้ถูกประกาศโดยระบบไปทั่วทั้งอาณาจักรสตาร์มูนและมันก็เป็น 1 ในวิธีการที่ดีที่สุดในการเพิ่มชื่อเสียงไปทั่วทั้งอาณาจักรสตาร์มูน

 

ดังนั้นดันเจี้ยนเหล่านี้จึงถือได้ว่าเป็นสนามรบที่แท้จริงสำหรับกิลด์ขนาดใหญ่ต่างๆ

 

ในขณะที่กิลด์เหล่านี้กำลังขับเคี่ยวกันในการลงดันเจี้ยน  หินลับมีดก็จะถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้ภายในสถานการณ์เช่นนี้และมันก็จะทำให้ราคาของหินแข็งเพิ่มขึ้นสูงอีกครั้ง

 

ดังนั้นฉีเฟิงจึงตั้งใจที่จะขายหินแข็งทั้งหมดของเขาในเวลานั้น 

 

ตอนนี้ฉีเฟิงไม่ได้มุ่งความสนใจของเขาไปที่การเอาชนะทีมดันเจี้ยนขนาดใหญ่  เพราะเขารู้ข้อจำกัดของตัวเองเป็นอย่างดี  เป้าหมายของเขาในตอนนี้มีเพียงแค่การพิชิตทีมดันเจี้ยนขนาดเล็กเลเวล 15 ปราสาทปีศาจเพียงเท่านั้น  แต่ความแข็งแกร่งโดยรวมของทีมเขานั้นยังห่างไกลจากความสามารถในการบุกโจมตีปราสาทปีศาจได้  พวกเขาจึงจำเป็นที่จะต้องเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเองก่อน       

 

เมื่อฉีเฟิงได้เดินทางมาถึงร้านค้าประมูลของเมืองธาราสีขาว  เขาก็เลือกที่จะขายสินค้าของเขาไว้เพียงแค่เขตเมืองธาราสีขาวเท่านั้น  ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เขาไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเป็นจำนวนมากในการค้าขาย

 

สำหรับการค้าขายหินแข็งให้กับเมืองอื่นๆนั้นเป็นสิ่งที่ฉีเฟิงไม่มีความคิดที่จะทำมันเลย  เพราะมันจะมีค่าธรรมเนียมในการค้าขายข้ามเมืองที่มากมายมหาศาลและมันก็จะทำให้กำไรของเขาลดน้อยลง

 

ฉีเฟิงได้ตั้งขายหินแข็งโดยแยกออกเป็นชุดๆละ 10 กองโดยมีราคาขั้นต่ำอยู่ที่ 10 เหรียญเงินต่อกองและราคาที่ซื้อภายในทันทีอยู่ที่ 12 เหรียญเงิน  เพราะหากเขาเลือกที่จะตั้งขายหินแข็งทีเดียว 500 กองมันก็อาจจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดและทำให้ราคาของมันลดลง  ดังนั้นเขาจึงทยอยขายพวกมันทีละชุดๆอย่างช้าๆ   

 

ภายในเวลาไม่ถึง 1 นาทีฉีเฟิงก็สามารถที่จะขายหินแข็งได้ทั้งหมด 10 กองและยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังถูกซื้อไปในราคา 12 เหรียญเงิน  

 

ฉีเฟิงถึงกับตกใจเมื่อเขาได้รับการแจ้งเตือนมาจากร้านค้าประมูล  เขาไม่เคยคิดเลยว่าหินแข็งในตอนนี้จะสามารถขายได้ในราคา 12 เหรียญเงินภายในเวลาอันสั้น

 

นี่มันบ้าไปแล้ว!! 

 

คนเหล่านี้ไม่รู้เลยหรือยังไงว่าราคาของ 1 เหรียญเงินในตอนนี้สามารถที่จะแลกเปลี่ยนเป็นเงินเครดิตได้ถึง 107 เครดิต

 

การที่พวกเขาจ่ายเงินเพิ่มอีก 2 เหรียญเงินนั่นก็เท่ากับว่าพวกเขาได้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นถึง 214 เครดิต  ซึ่งมันเทียบได้กับ 1 ใน 10 ของเงินเดือนสำหรับนักศึกษาที่เพิ่งจบมาจากมหาวิทยาลัยใหม่ๆ